‘ใครว่า SANDBOX มีแต่ในซีรี่ย์เกาหลี ม.เทคโนโลยีสุรนารีจับมือ TCELS ปล่อยของบนเวทีอินเตอร์ ส่งนักวิทยาศาสตร์ไทย สู่สมรภูมิ START UP!’
![](https://sawaddeemuangthai.com/wp-content/uploads/2020/12/S__1474610.jpg)
ซีรี่ย์ที่ปลุกไฟฝัน สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ ช่วงนี้คงหนีไม่พ้น เรื่อง START-UP ซึ่งรู้หรือไม่ว่าในประเทศไทยเองก็มีสถานที่ ที่เหมือน SANDBOX, แหล่งบ่มเพาะคนรุ่นใหม่ที่คนมีความสามารถมากมาย ได้อวดศักยภาพ และพิเศษกว่านั้นคือ นวัตกรรมที่ถูกพัฒนาขึ้นไม่ได้เฉพาะด้าน IT เท่านั้น แต่คือการผสมผสานองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ ที่นำเอาเทคโนโลยี ผสานเคมี ฟิสิกส์ ชีวะ เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ สุขภาพ ที่ในอนาคตจะไม่ใช่แค่พัฒนาคุณภาพชีวิตแต่ว่าจะกลายเป็นไลฟ์สไตล์!
…และที่นั่นคือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี! ใครที่ชมเรื่อง START-UP แล้วคงเห็นความพยายามของทีมพระเอกนักพัฒนาซอฟต์แวร์อนาคตไกล ที่ก่อตั้งบริษัทมาแล้วถึง 2 ปี แต่ก็ไปไม่ถึงไหน พยายามสร้างชื่อด้วยการส่งผลงานจนชนะเลิศระดับโลก แต่เมื่อต้องนำเสนองานกับนักลงทุนก็กลับไม่ประสบความสำเร็จ สิ่งที่ทีมถนัดคือการเป็นนักประดิษฐ์ แต่ไม่ถนัดด้านการสื่อสาร และทางออกคือพวกเขาต้องหา คนตรงกลาง หรือ นักบริหาร (CEO) ที่จะเป็นคนพาข้อมูลอรรถประโยชน์ของนวัตกรรม มาสื่อสารให้นักลงทุนเข้าใจ การมี Mentor ที่อ่านเกมส์ขาด คอยปลุกปั้นทีม Start up ให้ผ่านในแต่ละด่านได้ และนี่คือสิ่งที่เรามองเห็นใน นโยบาย “SUT Re-profile 2020” ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เพื่อให้มหาวิทยาลัยสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในยุค Disruptive Technology และพร้อมก้าวสู่การเป็น “มหาวิทยาลัยแห่งการประกอบการ” ที่แท้จริง
![](https://sawaddeemuangthai.com/wp-content/uploads/2020/12/S__1474616.jpg)
ผู้เปิดสนามเด็กเล่น : ‘เตรียมกระบะทราย และให้โอกาส’
รองศาสตราจารย์ ดร.อนันต์ ทองระอา รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย นวัตกรรม และพัฒนาเทคโนโลยี มหาวิทยาลัย สุนารี กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) เป็นมหาวิทยาลัยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยการนำของท่านอธิการบดี รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพงษ์ แพสุวรรณ เราได้กำหนดยุทธศาสตร์และวางนโยบายที่ชัดเจน ภายใต้นโยบาย “SUT Re-profile 2020” ในการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของประเทศ และเป็นมหาวิทยาลัยใน 200 อันดับแรกของภูมิภาคเอเชีย ท่านอธิการบดีมีเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยไปสู่การเป็น Social Enterprise (SE) หมายถึง การเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน และเป็นที่พึ่งของสังคม
![](https://sawaddeemuangthai.com/wp-content/uploads/2020/12/S__1474612-2.jpg)
มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญในเรื่อง การบริหารจัดการนวัตกรรม (Innovation management) มีหน่วยงานภายในชื่อ เทคโนธานี (Technopolis) ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการนวัตกรรมจากงานวิจัยของคณาจารย์และนักวิจัย
ในมหาวิทยาลัย ไปสู่การปรับแปลง ถ่ายทอด และพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ ในส่วนของการบ่มเพาะนักศึกษาให้มีความเป็นผู้ประกอบการนั้น มหาวิทยาลัยได้จัดตั้งสถานพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการสำหรับนักศึกษา (Student Entrepreneurship Development Academy, SEDA) ทำหน้าที่ส่งเสริมและพัฒนาทักษะความเป็นผู้ประกอบการให้กับนักศึกษา เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้กระบวนการคิดในการสร้างธุรกิจฐานนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยในช่วงระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา SEDA ได้ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินโครงการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมเกิดใหม่ที่มีการเติบโตสูง โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการจัดการเรียนการสอน และการดำเนินกิจกรรมเสริมหลักสูตรในการพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการอย่างเข้มข้น รวมถึง การพัฒนาศักยภาพอาจารย์และพี่เลี้ยงในการพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการ
มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญในเรื่องการสร้าง Venture Ecosystem, Industrial Collaboration, Talents (คณาจารย์ นักวิจัย และนักศึกษา) ที่มี mindset ในเรื่อง Entrepreneurship, การสร้าง Startups/Spin-offs และการสร้างผู้ประกอบการ (Entrepreneurs) ตัวอย่าง Startup จากแนวคิดของนักศึกษา อาทิ นวัตกรรมวัสดุผสม (Composite Material) จากพลาสติกรีไซเคิลและขยะจากอุตสาหกรรมเกษตร เป็นผลงานของนักศึกษาปริญญาตรี สาขาวิชาวิศวกรรมพอลิเมอร์ สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ ได้รับรางวัลผลงานนวัตกรรมยอดเยี่ยม Blue Ribbon ในงาน Shenzhen Maker Faire 2019 ประเทศจีน ตัวอย่าง Spin-off ที่ใช้ผลงานวิจัยและพัฒนาของมหาวิทยาลัย เช่น เทคโนโลยีการทำความเย็นแบบยิ่งยวด (Thermoelectric) เพื่อฟื้นฟูการบาดเจ็บหลังจากการผ่าตัด เป็นผลงานของศูนย์ความเป็นเลิศด้านวัสดุหน้าที่พิเศษขั้นสูง ร่วมกับ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีวกลศาสตร์ทางการแพทย์ ได้รับทุนสำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อออกสู่ตลาด กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม อว. (TED Fund)”
![](https://sawaddeemuangthai.com/wp-content/uploads/2020/12/S__1474617.jpg)
พาร์ทเนอร์ที่อ่านเกมส์ขาด : ‘เปิดประตูห้องแล็บ สู่สาธารณะ พาผลงานสู่ระดับอินเตอร์’
ทีเซลส์ (TCELS : Thailand Centre of Excellence for Life Sciences) หรือชื่อไทยว่า ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) คือ 1 ในผู้เปิดเวทีให้กลุ่มสตาร์ทอัพด้าน Bio Sience ได้รู้จักกัน สร้างเครือข่าย และนำเสนอผลงานสู่สารธารณะ จนถึงต่างประเทศ ดร.ศิรศักดิ์ เทพาคำ ผู้อำนวยการศูนย์ความเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ กล่าวว่า “บทบาทหน้าที่หลักของ TCELS คือพัฒนาธุรกิจไลฟ์สไตล์ ให้ครอบคลุมตั้งแต่อินฟราสตรัคเจอร์ การอบรม การทำให้เกิดธุรกิจ การเชื่อมโยงเครือข่าย การสร้างให้เกิดการลงทุนด้านไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์การนำงานวิจัยจากห้องแล็บ
มาสู่โลกภายนอก
![](https://sawaddeemuangthai.com/wp-content/uploads/2020/12/S__1474613.jpg)
การสร้างพื้นที่ให้กลุ่มสตาร์ทอัพด้าน Bio Sciences เราเริ่มตั้งแต่พาเขาไปดูงานที่เมืองนอก จนเกิดไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ บางคนได้คอนเน็คชั่น ได้พาร์ทเนอร์ นำมาต่อยอดให้กับงานตัวเอง สิ่งที่เป็น indicator บอกว่าอุตสาหกรรมเข้มแข็งหรือไม่ คือการจัด Exhibition รวบรวม Stakeholder มาให้ได้บ่อยและสม่ำเสมอ เพราะนั่นหมายถึงอุตสาหกรรมเราเข้มแข็งพร้อมต่อการเติบโต และด้วยนโยบายของรัฐที่ให้เพิ่มขีดความสามาถในการแข่งขัน ส่วนหนึ่งถ้าเราจะแข่งขันได้เราต้องไปตลาดโลกได้ด้วย ทางTCELS ก็จะพาผู้ประกอบการ หน่วยงานไปออกงานในต่างประเทศ ให้เขารู้สึกว่าเขาหา partner หา Collaborator ได้ และเราเองก็มีการเพิ่มโอกาสโดยการดึงนักลงทุนเข้ามา เช่น งาน Bio Asia Pacific2020 ที่เพิ่งจบไป ในหัวข้อ Virtual Conference 47 หัวข้อ มีผู้เข้าร่วมออนไลน์ 545 คน เกิดความร่วมมือในการพัฒนาเมืองการแพทย์อมตะเมดิทาวน์ การตั้ง Thailand Life Sciences Cluster (TLSC) ซึ่งเป็น Life Sciences Cluster แรกของประเทศ และคาดว่าจะมีการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการไม่น้อยกว่า 5 ผลิตภัณฑ์และบริการ คาดว่า
จะสร้างงาน สร้างอาชีพและเม็ดเงินที่เกิดจากการลงทุนมากกว่า 1,500 ล้านบาท”
![](https://sawaddeemuangthai.com/wp-content/uploads/2020/12/S__1474621.jpg)
START UP หน้าใหม่ : หา Pain point ของ Customer เพื่อดูว่าเราจะช่วยเขาได้อย่างไร
“ในการที่จะทำงานวิจัยหรือนวัตกรรมใด เราต้องศึกษาว่าผู้บริโภคมีปัญหาอะไร และเราจะเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาเขาอย่างไร” ศิริเพ็ญ รัตนสมบูรณ์ชัย หนึ่งในทีมวิจัยอุปกรณ์วัดระดับน้ำตาลในเลือดจากลมหายใจ
เพื่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน ในชื่อ DM Sense เล่าถึงที่มา “เริ่มแรกจากงานวิจัยหลักสูตรปริญญาโท นวัตกรรมชีวการแพทย์ จะได้เรียนทั้งด้านวิศวะ การแพทย์ และการเป็นผู้ประกอบการ เรามองว่างานวิจัยนี้น่านำไปต่อยอด รวมถึงการได้ไปศึกษา pain point ของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องเจาะเลือดที่ปลายนิ้วทุกวัน วันละหลายครั้ง ซึ่งการเจาะเลือดทุกวันทำให้มีแผล
ที่นิ้ว และผู้ป่วยเบาหวานก็เป็นแผลหายยาก จึงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ จึงคิดว่าน่าจะมีวิธีอื่นไหมที่ตรวจโรคเบาหวาน
ได้โดยไม่ต้องเจาะเลือด ทางทีมสนใจการตรวจจากลมหายใจ
DM Sense วัดจากอะซีโตนที่ออกมาจากลมหายใจอีกทีนึง ซึ่งค่าอะซีโตนมีความสัมพันธ์กับค่าน้ำตาลในเลือด คือ ค่าน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ค่าอะซีโตนในลมหายใจก็เพิ่มขึ้น การพัฒนานี้เรามองไปที่ Home Use เพื่อผู้ป่วยเบาหวานไว้ใช้ตามบ้านได้เลย ซึ่งคาดว่าจะนำมาใช้ได้อีกภายใน 1-2 ปี ภายหลังจากได้รับการรับรองมาตรฐานแล้ว”
![](https://sawaddeemuangthai.com/wp-content/uploads/2020/12/S__1474614.jpg)
![](https://sawaddeemuangthai.com/wp-content/uploads/2020/12/S__1474615.jpg)
นักพัฒนา : ความสร้างสรรค์และนวัตกรรม คือการผสมผสานชิ้นงานวิทยาศาสตร์ให้จับต้องได้ และเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของโลกอนาคต
![](https://sawaddeemuangthai.com/wp-content/uploads/2020/12/S__1474620.jpg)
ระบบการถ่ายภาพจอประสาทตา ด้วยเทคโนโลยี OCT 3D Retinal Scan :
การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา เราป้องกันได้ตั้งแต่ Early Stage
“รู้ไหมครับว่า โรคเกี่ยวกับตานี่ต้องรอให้เป็นก่อนถึงจะเริ่มกระบวนการรักษา”รศ.ดร.พนมศักดิ์ มีมนต์ อาจารย์ที่ปรึกษา งานวิจัยระบบการถ่ายภาพจอประสาทตา (non invasive 3 d retina scanner) บอกเล่าถึงที่มาของนวัตกรรมชิ้นนี้ “ในประเทศไทยยังต้องนำเข้าเครื่องนี้ ตกเครื่องละ 3-4 ล้านบาท จึงมีแค่ตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ยาก ส่วนใหญ่จึงต้องรอจนกว่าโรคทางตาจะแสดงอาการเพื่อให้การวินิจฉัยแม่นยำแล้วจึงค่อยเริ่มกระบวนการรักษา” ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา ค่ายา ค่าเข็มก็เริ่มต้นที่หลักพันถึงหลักหมื่น
“เครื่องตรวจวัดสายตาแบบ 3D นี้ ใช้ระบบเทคโนโลยี OCT ใช้เลเซอร์ในช่วงอินฟาเรดช่วง 800 นาโนเมตร
โดยจะมีความละเอียดสูงกว่าระบบอัลตราซาวด์ประมาณ 10,000 เท่า และสามารถถ่ายภาพลงได้ลึกประมาณ 2-5 มิลลิเมตร ไม่ทำลายเนื้อเยื่อเซลล์สิ่งมีชีวิตจึงมีความปลอดภัยสูง จากนั้นจะทำการแปลงสัญญาณที่สะท้อนกลับจากจอประสาทตาออกมาแปลงเป็นสัญญาณภาพออกมา ประโยชน์ของเครื่องนี้คือการดูอะไรก็ตามที่มีขนาดเล็กและมีความลึกด้วย นั่นก็คือจอประสาทตาของคนเรา ซึ่งระบบเดิมการดูจอประสาทตาจะสามารถดูได้แค่พื้นผิวเท่านั้น
ระบบเทคโนโลยี OCT นี้ทำให้เราเห็นใต้จอประสาทตาลงไป เมื่อมีอะไรก็ตามที่ผิดปกติ ตั้งแต่ในระดับไมครอนเราจะเจอก่อนและบอกได้ว่าเราต้องรักษาแล้ว เป็นการตรวจตั้งแต่ Early Stage เห็นความผิดปกติตั้งแต่ระยะแรก ผู้ป่วย
ก็รักษาได้ไว
โรคเกี่ยวกับดวงตาไม่เหมือนโรคทั่วไปที่เมื่อรักษาจะมีการสร้างเซลล์ใหม่ทดแทน แต่ดวงตาเมื่อเป็นแล้วรักษาไม่ได้ทำได้แค่การยับยั้งและหยุดความผิดปกติ ดังนั้นถ้าเราตรวจพบตั้งแต่แรกๆ ก็จะทำให้ผู้ป่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นเกี่ยวกับโรคจอประสาทตา อาทิ โรคต้อหิน รวมไปถึงโรคความดันตา โรคเบาหวาน และโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวกับจอประสาทตาด้วย สำหรับเครื่องนี้ยังอยู่ในช่วงการทดลองในห้องแล็บ ทางทีมได้มีการนำระบบ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ผล คาดว่าน่าจะเริ่มได้ใช้อีกประมาณ 2 ปี”
![](https://sawaddeemuangthai.com/wp-content/uploads/2020/12/S__1474619-1.jpg)
Electrospinning & 3D Printing Technology :
ความสำเร็จของเราคือการขึ้นรูปเส้นใยขขนาดเล็กระดับนาโนให้ออกมาเป็นรูปทรง 3 มิติ
นั่นหมายถึง ‘ความฝันในการสร้างอวัยวะเทียมอยู่อีกไม่ไกล’
“ความฝันของผมเลยนะ อีก 3-5 ปี เราอาจจะทำอวัยวะเทียมอย่าง กระเพาะปัสสาวะ ปอด หลอดเลือด และหัวใจ ได้จากเครื่องนี้” ดร.วิวัฒน์ นวลสิงห์ นักวิจัยและอาจารย์ที่ปรึกษา การพัฒนาเครื่อง Electrospinning & 3D Printing Technology เล่าถึงความมุ่งมั่นในการต่อยอดนวัตกรรมสู่อนาคต “เครื่องนี้สามารถขึ้นรูปวัสดุให้อยู่ในรูปแบบ 3 มิติ จากไฟล์ 3 มิติ แบบดิจิทัลที่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างขึ้น เส้นใยนาโน คือ เส้นใยที่มีขนาดเล็กมาก เล็กกว่าเส้นผมของเราประมาณ 100-1000 เท่า แต่เราสามารถควบคุมเส้นใยนาโนให้ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างตามที่เราออกแบบเป็น 3 มิติ
เราได้ทำงานร่วมกับอาจารย์และนักวิจัยด้านไบโอเทค เพื่อทดลองใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น การนำเซลลูโลสจากชานอ้อยที่มีทั้งขนาดเล็กในระดับไมโครเมตรและนาโนเมตร มาผสมกับพอลิเมอร์ชีวภาพชนิดต่าง ๆ เพื่อพัฒนาวัสดุให้มีสมบัติความเข้ากันได้กับร่างกายมนุษย์ สมบัติเชิงกลที่เหมาะสมกับการใช้งาน และจนกระทั่งสามารถขึ้นรูปออกมาเป็นโครงสร้างจากเส้นใยนาโนได้ จากนั้นเราจะนำโครงสร้างแบบ 3 มิติ มาทดสอบกับเซลล์ว่ามีสมบัติอย่างไรบ้าง
![](https://sawaddeemuangthai.com/wp-content/uploads/2020/12/S__1474618.jpg)
นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับนักวิจัย อาจารย์ในสาขาวิชาอื่น ๆ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เพื่อนำผลที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในทางการแพทย์จริง ตัวอย่างเช่น การสร้างเนื้อเยื่อเทียมให้กับผู้ประสบอุบัติเหตุไฟไหม้ผิวหนังถูกทำลายในชั้นลึกมาก ๆ บางวิธีรักษาต้องใช้ผิวหนังส่วนอื่นในร่างกายมาแปะทดแทน แต่เนื่องจากเราทำโครงสร้างสำเร็จรูป 3 มิติ ได้จากเครื่องที่เราพัฒนาขึ้นและเมื่อผ่านการเลี้ยงเซลล์ เราก็สามารถนำไปปลูกถ่ายใช้กับผู้ป่วยได้ สิ่งนี้เป็นตัวอย่างการนำไปใช้ในขั้นแรก ซึ่งขณะนี้สำเร็จในระดับห้องปฏิบัติการ ยังขาดในเรื่องของการควบคุมด้านมาตรฐานการผลิต GMP เพื่อให้ได้รับการอนุมัติและนำไปใช้ในโรงพยาบาลได้
![](https://sawaddeemuangthai.com/wp-content/uploads/2020/12/S__1474624.jpg)
อย่างการทำเนื้อเยื่อ 3 มิติ ให้ลองนึกถึงแผลกดทับที่ต้องคว้านเนื้อออกและมีช่องว่างอยู่ เราจึงจำเป็นต้องใช้วัสดุที่เป็น 3 มิติ เพื่อให้เข้ากับการใช้งานได้จริงมากขึ้น หรืออีกงานวิจัยที่วางแผนไว้ คือ การผลิตวัสดุทดแทนกระดูก เป็นโครงสร้างที่เซลล์กระดูกสามารถเจริญเติบโตได้ โดยการขึ้นรูปโครงสร้างขึ้นมาให้ใกล้เคียงกับกระดูก และผสมวัสดุหลายๆ ตัว ให้มีสมบัติใกล้เคียงกระดูก โดยมีโครงสร้างรูพรุนสูงจากเส้นใยนาโน
![](https://sawaddeemuangthai.com/wp-content/uploads/2020/12/S__1474623.jpg)
สิ่งที่ทีมวิจัยหวังต่อยอดการพัฒนาต่อไป เราหวังถึงการทำอวัยวะเทียม เพราะปัจจุบันมนุษย์ยังมีปัญหาด้านสุขภาพเจ็บป่วยจำนวนมาก ซึ่งเทคโนโลยี 3D printing เริ่มมีการพัฒนาให้สามารถทำอวัยวะเทียมได้ เช่น ใบหู กระเพาะปัสสาวะ หรืออย่างปัจจุบันนี้กับสถานการณ์ Covid-19 เราพบว่ามีผู้ป่วยโรคโควิดที่รักษาหาย แต่ปอดถูกทำลายไปแล้ว ถ้าเราสามารถทำปอดเทียมเพื่อใส่ทดแทนเข้าไป ก็น่าจะทำให้คุณภาพชีวิตมนุษย์โลกดีขึ้นได้ในอนาคต หรืออย่างหัวใจเทียม ที่ปัจจุบันในต่างประเทศเริ่มมีการทดลองใช้การพิมพ์ 3 มิติแบบชีวภาพ ขึ้นรูปหัวใจเทียมด้วยเซลล์จากมนุษย์ได้ แต่ยังมีขนาดเล็กเท่าหัวใจของกระต่าย ซึ่งเรามองว่าในประเทศไทย ยังต้องใช้เวลาศึกษาพัฒนาต่อในห้องปฏิบัติการอีกขั้นตํ่า 3-5 ปี”